บทนำ
บทความที่จะกล่าวดังต่อไปนี้
เหมาะสำหรับจักษุแพทย์ที่ใฝ่รู้และผู้ป่วยที่สนใจศึกษาโรคที่ตนเองเป็นอยู่ เนื้อหาทั้งหมดเป็นการคิดค้นขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น
เป็นการคิดนอกกรอบเพื่อหาสาเหตุและ วิธีรักษาโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงตลอดจนวิธีรักษาที่ถูกต้อง
โดยอาศัยการศึกษาจากผลทางด้านคลินิค โดยคาดหวังว่า ในอนาคต จะมีนักวิจัยที่สนใจทำการค้นคว้าวิจัยยืนยันผล
เพื่อไขปริศนาโรคของจอประสาทตาหลายชนิดที่ยังดำมืดและยังไม่พบหนทางที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้
นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
5 ธันวาคม 2550
กลไกความสัมพันธ์ของ Retinal artery
Retinal vein และ Lamina cribrosa
แรงดันเลือดแดงของ
Retinal artery เมื่อผ่านชั้น Lamina cribrosa ก่อนเข้าลูกตา จะถูกปรับลดลงจนไม่มีแรงดันชีพจร
( pulsation ) เพื่อไม่ให้ไปรบกวนการทำงานของเซลล์ประสาทตาที่ทำหน้าที่แปลงสัญญานภาพและแสง
ให้เป็นสัญญานไฟฟ้าเพื่อส่งไปตามเส้นใยประสาทตาเข้าสู่สมอง อย่างไรก็ตาม แรงดันเลือดแดงที่ลดลง
จะต้องเหลือในปริมาณที่มากกว่าแรงดันภายในลูกตาในระดับหนึ่ง จึงจะสามารถส่งเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทภายในลูกตาที่ทำงานอย่างเต็มที่ได้อย่างพอเพียง
ถ้าหากการรัดตัวของแผ่น Lamina cribrosa ที่กระทำต่อ Retinal artery มากเกินพอดี
ก็จะเกิดความไม่สมดุลย์ระหว่างปริมานเลือดแดงที่เข้ามาหล่อเลี้ยงและปริมานการทำงานของเซลล์ประสาทตา
เกิดสภาพเลือดแดงไม่พอหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาทั้งหมด หากการขาดเลือดดังกล่าวไม่รุนแรง
เซลล์ประสาทตาส่วนที่อ่อนแอกว่าก็จะค่อยๆทยอยตายไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ เกิดโรคต้อหินเรื้อรัง
( Chronic glaucoma ) แต่ถ้าการตีบรัดของแผ่น
Lamina cribrosa มีลักษณะที่รุนแรงกว่า ก็อาจจะทำให้เกิดการขาดเลือดแดงมากกว่า และเซลล์ประสาทตาทยอยตายลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดโรค Non-arteritic ischemic optic neuropathy
หรือถ้าการตีบของ Retinal artery ในบริเวณ Lamina cribrosa นั้น หากบังเอิญมีเศษตะกอนอะไรสักอย่าง
( Emboli ) ไหลผ่านเข้าไปอุดขวางทางเดินของเลือดแดงทันทีทันใด ก็จะทำให้เกิดโรค Acute
retinal artery occlusion ได้ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง
Retinal artery และ Lamina cribrosa หากทำหน้าที่ผิดเพี้ยนไป ก็อาจทำให้เกิดโรคที่ยังรักษาไม่ได้ทั้ง
3 ชนิดดังกล่าว
แรงดันเลือดแดงที่ถูกปรับลดลงโดยแผ่น
Lamina cribrosa เมื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทในลูกตาแล้ว ก็จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ระบบเส้นเลือดดำภายในลูกตา
( Retinal vein ) ซึ่งจะมีแรงดันในเส้นเลือดยิ่งต่ำลงไปอีก จนไม่อาจทนต่อแรงดันภายในลูกตาที่กดลงบนเส้นเลือดดำที่มีผนังบอบบางได้
และจะทำให้เส้นเลือดดำฟีบลงจนไม่อาจนำเลือดเสียออกไปนอกลูกตาได้ ดังนั้น กลไกการรัดตัวของแผ่น
Lamina cribrosa ที่มีต่อเส้นเลือดดำ ( Central retinal vein ) ในบริเวณขั้วประสาทตา
จึงมีความสำคัญต่อระบบไหลเวียนเลือดภายในลูกตาเป็นอย่างยิ่ง การรัดเส้นเลือดดำที่พอเหมาะในบริเวณขั้วประสาทตา
จะทำให้แรงดันภายในเส้นเลือดดำเพิ่มขึ้นและคงสภาพของท่อที่จะนำพาเลือดดำออกจากลูกตา
เพื่อเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของร่างกายในที่สุด ถ้ากลไกดังกล่าวทำงานผิดเพี้ยนไปจากการรัดตัวของแผ่น
Lamina cribrosa ที่มากเกินพอดี ในกรณีที่การรัดไม่รุนแรง จะเกิดแรงดันย้อนกลับทำให้เกิด
Central retinal vein pulsation
ที่บริเวณขั้วประสาทตาหรืออาจเกิดการรั่วซึม ( Leakage ) ของน้ำเลือด ( Serum ) ในบริเวณเชื่อมต่อของปลายเส้นเลือดดำ
และ ปลายเส้นเลือดแดง ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Macula และทำให้เกิดโรค
Cystic serous choroidoretinopathy
หรือเกิดการรั่วซึมของน้ำเลือด ( Blood )ใกล้ขั้วประสาทตา (
0ptic disc hemorrhage ) ซึ่งเป็น sign หนึ่งที่จักษุแพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคต้อหินเรื้อรังชนิดความดันลูกตาไม่สูง
( Normal tension glaucoma ) แต่ถ้าการหดรัดของแผ่น Lamina cribrosa รุนแรง จะเกิดแรงดันย้อนกลับสะสมเพิ่มสูงขึ้นมาก
เส้นเลือดดำจะโป่งพองและคดเคี้ยว ระบบไหลเวียนเลือดภายในลูกตาชงักงัน จนทำลายเซลล์ประสาทภายในลูกตาในที่สุด
และเรียกโรคนี้ว่า Central retinal vein occlusion
ดังนั้น หากมีวิธีการใดๆที่สามารถปรับสมดุลย์ให้กับการทำงานที่สัมพันธ์กันของโครงสร้างทั้งสามได้
ก็จะสามารถป้องกันและรักษาโรคดังที่กล่าวมาทั้งหมดได้ อนึ่ง ยังมีโรคของจอประสาทตาที่สำคัญอีก
2 โรคที่อาจมีส่วนสัมพันธ์กับการทำงานของโครงสร้างทั้งสามคือ
1.
Retinitis pigmentosa โรคนี้มีลักษณะอาการ อาการแสดง และการดำเนินโรค
คล้ายกับโรคต้อหินเรื้อรังเป็นอย่างมาก มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมชัดเจนเหมือนกัน
มีการสูญเสียเซลล์ประสาทตาไปอย่างช้าๆเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ชนิดของเซลล์ที่ตาย
กล่าวคือ Chronic glaucoma เซลล์ส่วนใหญ่ที่ตายจะเป็นเซลล์ชั้นบนที่เรียกว่า Ganglion
cells ส่วน Retinitis pigmentosa เซลล์ที่ตายส่วนใหญ่อยู่ในชั้น Rod and cone cells
จึงตั้งสมมติฐานว่า สาเหตุของโรคนี้ น่าจะเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดเช่นเดียวกัน
( ดูรายละเอียดได้ที่ http://rpsiam.doctorsomkiat.com
)
2.
Age-related macular degeneration โรคนี้มีความสัมพันธ์กับอายุและความแข็งกระด้างของเส้นเลือด
( Arteriosclerosis ) ทำให้เลือดแดงเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาได้ไม่พอเพียง เกิดการสูญเสียเซลล์ประสาทตาในบริเวณศูนย์กลางการมองเห็น
( Macula ) หากสามารถปรับเพิ่มการไหลเวียนเลือดแดงให้เข้าไปหล่อเลี้ยงได้เพิ่มขึ้น
ก็จะช่วยทั้งการป้องกันและรักษาโรคนี้ได้เช่นกัน ( ดูรายละเอียดใน http://amd.doctorsomkiat.com
)
-->กลับสู่หน้าแรกของเวบโรคต้อหิน <--
-->กลับสู่หน้าหลักงานวิจัยของน.พ. สมเกียรติ<--